โลกปัจจุบันกำลังเข้าสู่ยุค “อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง” (Internet of Things – IoT) หรือ“ทุกสรรพสิ่งสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต” และ “การสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ (Machine to Machine – M2M)
ย้อนหลังไปยุค 2G เมื่อเกือบ 3 ทศวรรษก่อน ประเทศไทยก็เกือบเสียโอกาสครั้งสำคัญลักษณะนี้มาแล้ว หาก ประธานธนินท์ เจียรวนนท์ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ไม่ตัดสินใจเดินหน้ากับ“ธุรกิจใหม่ที่ท้าทาย”
ห้วงเวลานั้น เป็นยุคเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ซึ่งมีใช้เฉพาะแต่สถาบันการศึกษาโดยเชื่อมสัญญาณผ่านสายโทรศัพท์ ส่วนระบบโทรศัพท์หลักเป็นระบบลากสายไปตามสำนักงานและบ้าน ประชาชนส่วนใหญ่พึ่งพาโทรศัพท์สาธารณะที่รอคิวกันยาวเหยียด เพราะการขอเบอร์โทรศัพท์บ้านเพียง 1 หมายเลขต้องรอกันข้ามปี ทำให้เกิดการเรียกเก็บหัวคิวและการขอหมายเลขโทรศัพท์ครั้งละหลายหมายเลขเพื่อนำมาขายเก็งกำไร
โทรศัพท์มือถือก็เช่นกัน เพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน และมีผู้ให้บริการเพียง 2 รายคือ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ปัจจุบันคือ TOT) กับการสื่อสารแห่งประเทศไทย (ปัจจุบันคือ CAT)
การเกิดขึ้นของ “ทรู คอร์ปอเรชั่น” หรือเทเลคอมเอเชียในชื่อเดิม เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2533 ด้วยวิสัยทัศน์ของ ประธานธนินท์ จึงไม่เพียงสร้างความเปลี่ยนแปลงในการดำเนินกิจการของเครือซีพีที่ขยายจากธุรกิจเกษตรและอาหาร มาสู่ธุรกิจโทรคมนาคม หากยังสร้างความเปลี่ยนแปลงมหาศาลให้แก่โครงสร้างพื้นฐานด้านการโทรคมนาคมของประเทศไทย
ประธานธนินท์ เริ่มธุรกิจโทรคมนาคม เมื่อรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ(พ.ศ.2531-2534) เปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนไทยร่วมลงทุนในโครงการ “ขยายโครงข่ายโทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย” ในปี พ.ศ.2533
ไม่มีบริษัทไทยบริษัทใดเลยตอบรับเข้าร่วมโครงการ ด้วยเหตุผลว่า ต้องใช้เงินลงทุนสูงเกินไป
แรกทีเดียว ประธานธนินท์ ปฏิเสธ เช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่น หากต่อมา เมื่อไตร่ตรองว่า ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสารอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีทันสมัย กำลังเป็นคลื่นลูกใหม่ที่จะถาโถมเข้ามาปฏิวัติระบบธุรกิจแบบเดิมๆของโลกทั้งหมด
อีกทั้งขณะนั้น ประเทศอื่นๆในแถบเอเชีย เช่น ไต้หวันและเกาหลี มีโทรศัพท์ 1 เลขหมายต่อประชาชน 3 คน มาเลเซีย มีโทรศัพท์ 1 เลขหมายต่อประชาชน 10 คน ส่วนประเทศไทย มีเพียง 1 เลขหมายต่อประชาชน 33 คน
โครงการขยายโครงข่ายโทรศัพท์ ย่อมเป็นโครงการที่จะก่อประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติระยะยาว ตาม “หลักการ 3 ประโยชน์” ซึ่งหมายถึง “ประชาชนได้ประโยชน์ประเทศชาติได้ประโยชน์ และบริษัทได้ประโยชน์” ที่ยึดถือตลอดมาในการทำธุรกิจประธานธนินท์ ตัดสินใจลงทุนทันที
แนวทางการทำงานของประธานธนินท์ในเรื่องนี้ เป็นเช่นเดียวกับเมื่อท่านปฏิวัติการเลี้ยงไก่ในประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีล่าสุดจากสหรัฐอเมริกา นั่นคือ เมื่อเริ่มงานใหม่ที่ยังไม่มีความรู้ ต้องใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดในโลกของคนเก่งระดับโลกมาช่วยพัฒนาซึ่งทำได้ด้วยการ “ขอความร่วมมือ” หรือ “ซื้อ” เทคโนโลยีสำเร็จรูป
ประธานธนินท์ เชิญ บริษัท บริติช เทเลคอม (British Telecom ปัจจุบันคือ BT Group)ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมจากประเทศอังกฤษ มาเป็นที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีและถือหุ้นร่วม แล้วยื่นข้อเสนอเป็นผู้ดำเนินการโครงการขยายโครงข่ายโทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย ซึ่งคณะกรรมการฯ พิจารณาแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นข้อเสนอที่ “ดีที่สุด” ทั้งในด้านเทคนิค อัตราส่วนแบ่งรายได้ และการบริหารโครงการ
เครือซีพี จึงได้รับสัมปทานดำเนินงาน 25 ปีแต่เพียงผู้เดียว บนเงื่อนไขว่าต้องใช้ผู้ผลิตอุปกรณ์เป็นซัพพลายเออร์มากกว่า 1 รายเพื่อป้องกันการผูกขาด ซึ่งซีพีเลือกใช้ 3 รายที่เป็นระดับสุดยอดของโลก ได้แก่ ซีเมนส์ (Siemens) จากเยอรมนี เอทีแอนด์ที(AT&T) จากสหรัฐอเมริกา และเอ็นอีซี (NEC) จากญี่ปุ่น
วันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 เครือซีพีจัดตั้งบริษัทจดทะเบียนชื่อ “บริษัท ซีพีเทเลคอมมิวนิเคชั่น จำกัด” หรือ “ซีพี เทเลคอม” เพื่อดำเนินงานโครงการดังกล่าวด้วยวงเงินลงทุนกว่าแสนล้านบาท แต่พลันเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การดูแลของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (รสช.) ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2534
ประธานธนินท์ต้องเจรจากับรัฐบาลชุดใหม่ในสมัยนายกรัฐมนตรี อานันท์ ปันยารชุนอีกรอบ
การเจรจาครั้งนี้ ประธานธนินท์ ในนามบริษัท เทเลคอมเอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเปลี่ยนมาจากชื่อ “ซีพีเทเลคอม” ยอมสละสิทธิ์ขยายโครงข่ายเขตภูมิภาค โดยตกลงขยายโทรศัพท์ 2 ล้านเลขหมายเฉพาะเขตนครหลวงให้แล้วเสร็จภายใน พ.ศ. 2539 ซึ่งต่อมาจะเพิ่มเติมอีก 6 แสนเลขหมาย และ เทเลคอมเอเชีย สามารถส่งมอบเลขหมายทั้งหมดให้แก่องค์การโทรศัพท์ก่อนกำหนดเวลา
เมื่อเริ่มดำเนินงาน เทเลคอมเอเชีย จัดการให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการขอจดทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์ ที่ร่นระยะเวลารอคอยจาก 1 ปีเป็น 1 สัปดาห์โดยไม่ต้องจ่ายค่าหัวคิวใดๆ
ตามด้วยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมไทยแบบก้าวกระโดด ยกเลิกระบบชุมสายโทรศัพท์แบบโบราณ เป็นการวางโครงข่ายกระจายศูนย์ที่ไม่ต้องพึ่งพาชุมสายหลัก สามารถแตกลูกข่ายเป็นชุมสายย่อย เชื่อมต่อถึงบ้านและสำนักงานต่างๆได้ทันที
รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่อข้อมูลใหม่ล่าสุด ณ ขณะนั้น คือ “เคเบิลใยแก้วนำแสง” ซึ่งมีช่องสัญญาณกว้าง ส่งข้อมูลได้มหาศาลทั้งภาพและเสียง จน เทเลคอมเอเชีย กลายเป็นผู้ประกอบการไทยรายแรกๆ ที่สามารถให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงโดยไม่ต้องลงทุนเปลี่ยนโครงข่ายโทรศัพท์
นับจากนั้น วงการโทรคมนาคมไทยจึงเข้าสู่ยุคใหม่อย่างสมบูรณ์พร้อมกับการแข่งขันใหม่ๆในแวดวงธุรกิจโทรคมนาคมที่นำความเติบโตมาสู่เศรษฐกิจของประเทศ เช่นธุรกิจโทรศัพท์มือถือและธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
ปัจจุบัน เทเลคอมเอเชีย เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด มหาชน (True Corporation Public Company Limited) บริษัทก็ได้ขยายกิจการโทรคมนาคมไปรอบด้าน บนหลักปรัชญา 3 ประโยชน์ของ ประธานธนินท์ ในการสร้างคุณค่าให้แก่ธุรกิจอย่างยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม