#เริ่มต้นชีวิตเซลล์ขายอาหารสัตว์
อีก 1ผู้บริหารของซีพีที่คณะทำงานด้านContent100 ปีซีพีมีโอกาสสัมภาษณ์คุณสถิตสังขนฤบดี ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจห้าดาวและร้านอาหาร ซีพีเอฟถึงบทบาทและการมีส่วนร่วมสร้างธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจห้าดาว จากเด็กหนุ่มจบการศึกษาปริญญาตรีวิทยาศาสตรบัณฑิต (เศรษฐศาสตร์ เกษตร) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เริ่มทำงาน ในตำแหน่ง พนักงานขาย เป็นระยะเวลา 4 ปี ในส่วนของธุรกิจอาหารสัตว์ จากนั้นได้เลื่อนเป็นผู้จัดการเขต รับผิดชอบธุรกิจอาหารสัตว์ เป็นเวลา4 ปี แล้วได้เป็นผู้จัดการฝ่าย 5 ปี จากนั้นได้เป็นผู้จัดการทั่วไป ดูแลธุรกิจเชสเตอร์และได้เป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และรองกรรมการผู้จัดการ ตามลำดับ ดูแลกิจการในส่วนของธุรกิจห้าดาว 5 ปี จากนั้นขึ้นเป็นรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ดูแลกิจการธุรกิจห้าดาวและเชสเตอร์
ด้วยผลงานที่ได้สร้างขึ้นซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์แก่ซีพีมากมายทั้งการขยายจำนวนสาขาธุรกิจห้าดาวในประเทศไทยจาก 400 สาขา เป็น5,500 สาขา สามารถทำยอดขายของธุรกิจห้าดาวเพิ่มจาก 400 ล้านบาท เป็น 5,500 ล้านบาท ต่อปี นอกจากนี้ยังได้สร้าง ธุรกิจใหม่ ภายใต้แบรนด์ห้าดาว เช่น ธุรกิจไก่ทอด, ธุรกิจข้าวมันไก่ รวมถึงมีการขยายธุรกิจห้าดาวไป ต่างประเทศอีกด้วย ปัจจุบันคุณสถิตเป็นประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจห้าดาวและร้านอาหารรองกรรมการผู้จัดการบริหาร ดูแลธุรกิจห้าดาว ของบริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน, ธุรกิจเชสเตอร์,ธุรกิจซีพีคิทเช่น, ธุรกิจเชสเตอร์คอฟฟี่ บริษัทเชสเตอร์ฟู้ด จำกัด รวมถึงธุรกิจซีพีฟู้ดเวิลด์ บริษัท ซีพีเอฟ เทรดดิ้ง จำกัด ด้วยความรู้ความสามารถชโดยเฉพาะการสร้างผลประโยชน์และพัฒนาองค์กรจนมี ความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง และได้รับการคัดเลือกเป็นศิษย์เก่าดีเด่น ประจำปี 2557 ประเภท นักบริหารภาคเอกชนมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
คุณสถิตเล่าว่า “ผมเป็นลูกหม้อซีพีคนหนึ่ง เพราะหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยก็มาเริ่มงานกับเครือซีพีเลย ในวันที่25 พค.2522 มาเริ่มในธุรกิจขายอาหารสัตว์ทำอยู่ประมาณ16ปีจากนั้นก็โอนย้ายมาสังกัดธุรกิจร้านอาหารและอยู่ในเชนธุรกิจร้านอาหารมาตลอดจนถึงปัจจุบัน สมัยนั้นซีพีมีธุรกิจไม่มากมายเหมือนปัจจุบัน ธุรกิจหลักของซีพีเกี่ยวกับเกษตรอุตสาหกรรม ประกอบด้วยธุรกิจอหารสัตว์
การที่ตัดสินใจมาทำงานซีพีก็มองเห็นว่าธุรกิจด้านการเกษตรในยุคนั้นผมก็เรียนรู้รับรู้แล้วว่าซีพีเป็นเบอร์1 อย่างเรื่องการผลิตอาหารสัตว์ ผมก็ศึกษาห้าข้อมูลว่าซีพีขายอันดับ1 มาร์เก็ตแชร์ตลาดสูงสุด เรื่องการทำฟาร์มไก่ ฟาร์มหมู ฟาร์มเป็ดในยุคนั้นที่ผมจบใหม่ๆ ผมก็ศึกษามาก่อนที่ผมจะเข้ามาเหมือนกันว่าซีพีเป็นเบอร์1 ยุคนั้นซีพีก็เริ่มมีโรงงานชำแหละที่กม.2บางนาก็ถือว่าซีพีในยุคนั้นเป็นผู้นำ ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและเริ่มเรียนรู้นโยบายท่านประธานอาวุโส ท่านมีนโยบายให้ทุกคนที่เข้ามาทำงานมีโอกาสเติบโตมีโอกาสก้าวหน้า ท่านบอกว่าคนในตระกูลเจียรวนนท์จะไม่ลงมาทำงานแข่งขันกับพนักงานที่เข้ามาร่วม ต่อไปผู้บริหารซีพีที่จะเติบโตต้องมาจากพนักงานที่ใม่ใช่นามสกุลเจียรวนนท์”
“จากการที่ผมศึกษาว่าซีพีธุรกิจก็เป็นเบอร์1 สไตล์ของผู้บริหารสูงสุดก็น่าสนใจคือคนในตระกูลจะไม่มายุ่งเรื่องบริหารจัดการจะให้ลูกจ้างบริหารจัดการกันเองและเข้ามาแล้วก็มีโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้า ยุคนั้นเจ้านายผมที่คุมในเมืองไทยคือท่านประธานประเสริฐ พุ่งกุมาร ผมเข้ามาจำได้ไปสัมมนาที่เชียงใหม่ ท่านประธานประเสริฐขึ้นบนเวทีท่านก็กล่าวให้ทีมงานขายทุกคน ทั่วประเทศฟัง ท่านบอกว่าต่อไปในวันข้างหน้าพวกคุณที่นั่งอยู่ในที่นี้จะต้องเติบโตก้าวหน้าและจะต้องมาแทนผม มันก็เป็นกำลังใจให้กับทีมงานที่มองเห็นอนาคตข้างหน้าที่จะมาร่วมใต้ชายคาของซีพี”
“จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมก็ทำมาถึง41ปีแบบนึกไม่ถึงว่าจะอยู่ยาวนานขนาดนี้ ปี2564ก็จะ42ปี ยาวเลยไม่มีการออกไปแล้วกลับมา ผมจบจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สมัยนั้นเริ่มมิกซ์ทีมงานขายอาหารสัตว์ ประกอบกับด้วยทีมที่จบจากสัตวบาลมาส่วนหนึ่งจบทางด้านเศรษฐศาสตร์ ด้านการตลาดส่วนหนึ่งเอามาผสมผสานเพราะว่าสัตวบาลจะรู้เรื่องการเลี้ยงสัตว์อย่างเดียวไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการขาย การตลาด ก็เลยนำมาซึ่งการผสมผสานกัน ทำให้ผมได้รับโอกาสามาร่วมงานในทีมงานขาย สมัยนั้นยังไม่มีซีพีเอฟ สมัยนั้นใช้ชื่อ 2บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหารสัตว์กับบริษัทกรุงเทพอาหารสัตว์”คุณสถิตย้อนถึงวันที่เข้ามาทำงานในซีพีพร้อมกับเล่าว่า
#ซีพีเป็นเบอร์1 ไม่ใช่ขายสินค้าราคาถูกแต่ เพราะเราขายคุณภาพ
คุณสถิตบอกถึง”บรรยากาศการทำงานของทีมขายอาหารสัตว์ เราอยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง มีความเป็นกันเองและการแต่งตัวยุคนั้นก็ง่ายๆสบายๆ ย้อนกลับไปดูยังสงสัยว่าแต่งตัวอย่างนั้นได้อย่างไร คือตอนไปพบลูกค้าต่างจังหวัดใส่รองเท้าแตะแบบสุภาพนุ่งกางเกงสแลค ใส่เสื้อยืดแขนสั้น นี่คือสไตล์การทำงานของเซลล์ซีพีสมัยก่อน ไม่ได้ใส่เสื้อแขนยาวเชิร์ต ไม่ใส่ผ้าใบหรือรองเท้าหนัง โดยงานหลักของพวกเราคือติดต่อดีลเลอร์ขายอาหารสัตว์กับไปพบเกษตรกร เกษตรกรก็เป็นเกษตรกรรายย่อยจริงๆ รายใหญ่ๆยุคนั้นไม่ค่อยมี ส่วนใหญ่เลี้ยงหมูแค่ 5ตัว 10ตัวก็แวะไปเยี่ยม ไปเซอร์วิช ไปบริการ ไปแนะนำการเลี้ยงเพื่อจะได้ขายอาหารสัตว์ คู่แข่งก็ อย่างแหลมทองสหการ เบทาโกร ศรีไทย ป. เจริญพันธุ์ ลีพัฒนา คาร์กิลล์ แต่ยุคนั้นซีพีเราเป็นเบอร์1ทิ้งเบอร์2หลายช่วงตัวและการที่เราเป็นเบอร์1ไม่ใช่เราขายสินค้าราคาถูกนะ สินค้าเราราคาต่อถุง ต่อกิโลสูงที่สุด แต่ทำไมเราขายเป็นเบอร์1ก็เพราะเราขายคุณภาพสามารถให้ลูกค้าเอาไปทดลองได้เลย เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่เนื้อ เลี้ยงไก่ไข่ ท้าพิสูจน์ได้เลยเลี้ยงแล้วถึงแม้ต้นทุนต่อตัว เราจะสูงกว่า แต่สุดท้ายด้วยประสิทธิภาพที่เรามี คุณภาพที่เหนือกว่า ต้นทุนในการผลิตเนื้อหมู เนื้อไก่ต่อกิโลหรือไข่ต่อ1ฟองเรายังถูกกว่าคู่แข่งนี่คือจุดขายอาหารสัตว์ของเรา ที่ทำให้เราเป็นเบอร์1ได้ คือเราขายคุณภาพ เราไม่ได้แข่งขันเรื่องราคา ตอนนั้นเรามีการส่งเสริมการเลี้ยงทั้งไก่เนื้อ ไก่ไข่ หมูและเป็ด ตอนนั้นอย่างอาหารหมูเรามีแบรนด์อย่างไฮโปร ฮอกโทนัล แบรนด์ซี.พี ทำไมต้องมี3แบรนด์ เพราะเมื่อเปิดแบรนด์ไฮโปรไปแล้ว ถ้าไม่มีแบรนด์ 2 แบรนด์3 จะเปิดดีลเลอร์รายที่ 2รายที่ 3ไม่ได้ เพราะรายแรกไม่ยอม อาหารไก่ก็มี3แบรนด์ มีไฮโปรไวท์แอนไวโปรและซี.พี ปัจจุบันก็ยัง3แบรนด์อยู่ สมัยก่อนเป็นถุงกระดาษนะ เดี๋ยวนี้ถุงกระดาษไม่มีแล้วใช้ใยสังเคราะห์แทน”
คุณสถิตเล่าอีกว่าตอนนั้นยังไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับท่านประธานอาวุโสยังนึกหน้าตาท่านไม่ออกด้วยซ้ำไปจำได้แต่ท่านประธานประเสริฐที่คุมเมืองไทยทั้งหมด สมัยนั้นจำได้คุณอดิเรกอยู่ที่โรงงานลำพูนดูแลโรงงานและพื้นที่การขายที่ภาคเหนือตอนบนและรายงานตรงกับท่านประธานประเสริฐ ผมเข้ามาเป็นเซลล์ขายในพื้นที่ภาคอีสานดูแล7จังหวัด ร้อยเอ็ด กาฬินธุ์ อุบลราชธานี มุกดาหาร นครพนม สกลนคร อีสานบนยุคแรกๆเข้ามาผมไม่มีรถยนต์ใช้ จะไปก็นั่งรถทัวร์จากกรุงเทพ ไปถึงแล้วก็เดินทางต่อด้วยรถมอเตอร์ไซค์บ้าง 2แถวบ้างไปตามฟาร์มเกษตรกร บางทีเดินเข้าไปบ้าง ถ้าจะเดินทางต่อเช่นจากอุบลฯไปมุกดาหารก็เดินทางรถโดยสารเหมือนกัน ถ้าออกทริปแล้วยาว 7วัน กลับมาประชุมก็5-6วัน ที่เหลืออยู่ต่างจังหวัด ทำงานกัน 7วันทำงานแบบนี้ประมาณ7-8เดือน
#ส่งเสริมการขายคือบริการ ให้ความรู้
คุณสถิตเล่าถึงการส่งเสริมการขายทำอย่างไร สมมุติว่าคุณเลี้ยงหมูอยู่ 5ตัวผมก็จะแวะไปเยี่ยมเยียนก็ไปแนะนำตัวเอง สวัสดีครับผมสถิตนะครับมาจากบริษัทซีพีก็ชวนคุยไปเรื่อยเลี้ยงหมูเป็นอย่างไร เราก็ไปแบบเซอร์วิช ช่วงที่ไม่มีรถผมก็มีเป้ ในเป้ก็จะใส่ยาฉีดหมู เข็มฉีดยาพร้อม ไปแนะนำเรื่องการเลี้ยงหมู เกษตรกรอาจผสมอาหารหมูไม่ถูกต้อง สมมุติอาหาร100กิโลกรัม เกษตรกรอาจผสมอาหารหมูไม่ถูกต้อง สมมุติอาหาร100กิโลกรัมต้องใช้หัวอาหารอาหาร20กิโลกรัม เกษตรกรอาจไม่รู้มาก่อนก็เลี้ยงแบบตามบุญตามกรรมหรือใช้ไม่ครบสูตร แต่ด้วยหัวอาหารราคาแพง รำ ปลายข้าวราคาถูก ลูกค้าอาจรู้เท่าไม่ถึงการก็ผสมอาหารรวมหัวอาหารให้ราคาถูกเพื่อประหยัดต้นทุน โดยไม่รู้ว่าผสมไม่ถูกสูตร ทำให้หมูโตช้า ใช้เวลาเลี้ยงยาวนาน สุดท้ายก็เสียโอกาส
ผมเข้าไปก็แนะนำสูตรการเลี้ยงที่ถูกต้อง แล้วผสมอาหารยุคนั้นก็ผสมด้วยพลั่วไม่มีเครื่องผสมเหมือนที่เราเห็นผสมปูนก็ไปแนะนำวิธีการที่ถูกต้อง พอลูกค้าทำตามหมูก็โตเร็ว ได้ผล พอไปอีกทีลูกค้าไม่รู้ว่าผมเป็นสัตวบาล ทุกคนที่ไปลูกค้าเรียกหมอหมดเพราะอะไรเพราะพวกเรามีเข็มฉีดยาที่พกไปด้วยและก็มีความรู้พื้นฐานจากที่ถูกเทรนมา ก่อนไปหาลูกค้าพวกเราก็ต้องไปเทรนในฟาร์มหมู ฟาร์มไก่ไปเทรนเรื่องการเลี้ยงรู้จักอาการของโรคหมู โรคไก่และการรักษา รักษาด้วยยาอะไร ไก่มียาอะไรผสมน้ำให้กิน หมูส่วนใหญ่ก็เป็นยาฉีด อาการแบบไหน เป็นอย่างไรควรจะใช้ยาแบบไหน ฝึกฉีดยา ทุกคนต้องฉีดยาเป็น ถ้าไปเจอหมูป่วยก็รักษาให้ฟรี ฉีดยาให้ฟรี ฉีดเข็มเดียวไม่หายต้องฉีดพรุ่งนี้ มะรืนนี้ก็ให้ยาไว้ขวดสองขวดเลยพร้อมกับไซริงค์พลาสติกเพื่อให้ลูกค้าฉีดพรุ่งนี้ มะรืนนี้อีก2เข็ม ถ้าหมูหายป่วย เดือนหน้ามาพบลูกค้าอีกทีเกษตรกรก็จะต้อนรับอย่างดี ดูแลพวกเราอย่างดีเลยเกิดความคุ้นเคย สนิทสนม สิ่งเหล่านี้ก็มีโอกาสให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนอาหารสัตว์เป็นเรื่องที่ง่ายมากขึ้น บอกอะไรเกษตรกรก็จะทำตาม เมื่อเราชนะใจ สร้างความไว้ใจก็จะดีไปหมด
นี่คือการออกไปส่งเสริมของพวกเรา ไปให้ความรู้เรื่องการเลี้ยง การจัดการ เรื่องการป้องกันโรค รู้จักการทำวัคซีนให้สามารถเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ให้ต้นทุนต่ำลง ใช้เวลาสั้นลง แต่เป้าหมายสุดท้ายคือการขายอาหารสัตว์ให้มากขึ้นก็ช่วยให้ดีลเลอร์มียอดขายมากขึ้น ดีลเลอร์ก็ขายให้เกษตรกรรายย่อยได้มาก บริษัทก็ขายอาหารสัตว์ได้เพิ่มขึ้น แบบวินวิน และดีลเลอร์ก็ต้องเป็นแบบรักเดียวใจเดียวถ้าจะขายอาหารสัตว์ก็ต้องขายยี่ห้อเดียวของเรา แม้ว่าเกษตรกรจะใช้อาหารของรายอื่นเราก็เข้าไปและไม่โจมตีคู่แข่ง แต่เราจะเข้าไปให้ความรู้ แนะนำอย่างที่เล่า ให้คำแนะนำการเลี้ยง การดูแลป้องกันโรค เพื่อไม่ให้เกษตรกรเลี้ยงแล้วเกิดปัญหา ถ้าติดขัดอะไรก็ไปติดต่อดีลเลอร์ของเราได้ เป็นการสร้างสัมพันธภาพที่ดี เอาความรู้ไปแนะนำ ให้ข้อมูลเพื่อเกษตรกรตัดสินใจ อย่างที่ผมบอกเราขายคุณภาพ พอเกษตรกรได้ลองของเราก็ได้ผลและได้พิสูจน์สิ่งทีเราแนะนำเกษตรกรก็หันมาใช้ของซีพี อยู่ตรงนี้ 16ปีตั้งแต่เป็นเซลล์ เป็นผู้จัดการแผนกผู้จัดการฝ่ายขายคุมทางภาคอีสานทั้งหมด โรงงานที่ประจำของผมก็คือโรงงานโคกกรวด ผมกินนอนอยู่ในโรงงาน ดูแลการขายพันธุ์สัตว์ตั้งแต่โคราชขึ้นไป”
#จากขายอาหารสัตว์มาขายไก่ย่าง
แล้วทำไมมาเปลี่ยนงานมาเป็นการขายไก่ย่าง คุณสถิตเล่าว่าอยู่มาวันหนึ่ง คุณทง โชติรัตเจ้านายผมที่เป็นรองจากท่านประธานประเสริฐก็โทรมาบอกว่าบริษัทสนใจจะทำร้านสุกี้นะ ผมเกิดมาไม่เคยกินสุกี้ ช่วงนั้นMKมีชื่อแล้ว แต่ดังสุดคือสุกี้โคคา ผมเข้ามาปี2522 ผ่านมา16ปีกับงานขายอาหารสัตว์ แต่วัฒนธรรมการทำงานซีพีเราจะไม่ขัดผู้บังคับบัญชานายอยากให้ทำอะไร ที่ไหนได้หมด จะย้ายไปที่ไหนก็ได้จะให้ทำอะไรก็ได้ถือว่านายคัดแล้ว เลือกแล้วถ้าเราคิดบวกเราก็ต้องภาคภูมิใจ นายเลือกเราก็ถือว่าเราเป็นเบอร์1ในบรรดาผู้จัดการฝ่ายขาย ตอนนั้นมีผู้จัดการฝ่ายขายรวม6คน ดูแลทั่วประเทศ ผมก็คิดว่าเป็นเรื่องธรรมชาติที่เค้าต้องเลือกคนที่ดีที่สุดในการไปรับงานใหม่ผมก็คิดบวกว่านายเลือกแล้ว แต่จริงๆก็เอานอนไม่หลับ3คืนเพราะกินก็ไม่เคยกิน ผมก็ย้ายเลยมาตั้งบริษัทใหม่บริษัทอินเตอร์สุกี้จำกัด ราวปี2536 มาคนเดียว
เพราะยุคนั้นซีพีไม่มีใครรู้เรื่องFood ตอนนั้นก็มีเชสเตอร์ราว 4-5สาขา สุกี้อินเตอร์เปิดสาขาแรกที่อนุสาวรีย์ชัยฯ พอเปิดปุ๊ปขายได้เดือนละล้านกว่าบาท ก็ไปทำงาน7วัน 4-5ทุ่มมาเซ็ทอัพสูตร แล้วคุณทงก็คัดทีมR&Dคนหนึ่งมาจาก5ดาวมาทำR&Dและโปรดักชั่นส์แล้วก็สร้างครัวกลางสำหรับส่งอาหารให้ร้าน จนเมนูครบทุกอย่างทั้งสุกี้ หมูแดง เป็ดย่างกลางคืนผมก็มาเสริฟด้วย เด็กไม่พอ ทำเองเลย บางทีล้างจานก็ทำ ก็ถือว่าขายดีนึกไม่ถึงจะขายเป็นล้าน ต่อมาคุณทงให้ผมมาอยู่กับคุณประเสริฐ กุรุพินท์ศิริ คุณประเสริฐ กุรุฯยุคนั้นดูแล 5ดาว โรงงานไส้กรอกมีนบุรี คุณสุขวัฒน์เป็นGMโรงงานไส้กรอก ผมเป็นGMบริษัทสุกี้อินเตอร์ คุณประเสริฐ กุรุฯเป็นAVPดูเชสเตอร์ ห้าดาว วีฟู้ดขายไก่แผง ไข่แผงตามช่องทางตลาดสดและดูสุกี้เพิ่ม คุณประเสริฐก็ซีโร่ ผมก็ซีโร่ ตอนนั้นยังไม่มีซีพีเอฟ สาขา2ก็เปิดที่สีลม หลักการเปิดสาขายุคนั้นคือใครขึ้นป้ายให้เช่าให้เซ้งเดินเข้าไปคุยเลย พอมองย้อนกลับไปดูทำได้อย่างไร เพราะทำแบบนั้นผิดอย่างมหันต์เพราะโลเกชั่นที่ขึ้นป้ายให้เช่า ให้เซ้ง ให้ขายเป็นโลเกชั่นที่ใช้ไม่ได้เพราะถ้าเป็นโลเกชั่นที่ดีไม่ต้องขึ้นป้ายแบบนั้น สาขาสองก็ขาดทุนเพราะย่านนี้ไม่ใช่ย่านชุมชนผิดกับอนุสาวรีย์ชัยฯคนพลุกพล่าน สวนลุมมีแต่คนออกกำลังกายตอนเช้า ร้านสุกี้ยังไม่เปิดหรือออกกำลังกายตอนเย็นเสร็จก็กลับบ้าน
ต่อมาเปิดสาขา 3 สุขุมวิท19 เป็นตึกแถว2คูหาซอยเดียวกับท่านประธานประเสริฐ เปิดตรงนั้นด้วยเหตุผลเดียวกันคือขึ้นป้ายให้เช่าขายไม่ดีแล้วเจอร้านMKเปิดอยู่ใกล้กัน ขายได้เดือน4-5แสนก็ขาดทุน สาขาที่4แถวบางนา เหตุผลเดียวกันขึ้นป้ายให้เช่าและใหญ่มาก กำลังตกแต่งเตรียมจะเปิดร้านคุณอดิเรกซึ่งย้ายกลับมาจากอินโดนีเซียสลับกับคุณทงเรียกผมมาถามเป็นอย่างไรบ้างร้านสุกี้ คุณอดิเรกไปสาขาแรกเห็นคนเยอะขายดี อร่อย ผมก็เล่าให้คุณอดิเรกถึงผลประกอบการทั้ง3สาขาและจะเปิดสาขาที่4 ตกแต่งแล้ว มัดจำไว้แล้ว ครึ่งทางแล้ว คุณอดิเรกบอกพาผมไปดู คุณอดิเรกโทรหาคุณประเสริฐ กุรุฯทำไมถึงมาเปิดตรงนี้ ทำเลแบบนี้เปิดได้อย่างไร ไม่เหมาะสมกับการเปิดร้านสุกี้ ผมว่าตรงนี้ไม่ควรเปิดก็เลยต้องหยุดและคุณอดิเรกบอกเลยจะเปิดสาขาไหนให้มารายงานก่อน ก็เลยหยุดชะงักการเปิดร้านสุกี้ตั้งแต่วันนั้นมา ภาพรวมก็ขาดทุนแต่ไม่มากเท่าไหร่ และผมก็ย้ายมาเป็นGMเชสเตอร์ปี 2538สลับกับGMเชสเตอร์มาดูสุกี้แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จจนขายกิจการไป
#หวัดนกกับการกอบกู้5ดาวพลิกวิกฤตเป็นโอกาส
ตอนที่มาดูเชสเตอร์มี4-5สาขา กำลังจะเปิดที่ซีคอนแสควร์และก็อยู่เชสเตอร์นาน18ปีและเพิ่งจากเชสเตอร์ไป5ดาว ที่ย้ายไป5ดาวเพราะว่าผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ว่าต้องการให้เชสเตอร์ไปทั่วโลกก็เลยไปรีครูทจากYumบริษัทแม่ของKFC มิสเตอร์ริกเกอร์ หว่องมาดูแลเชสเตอร์ สมัยนั้นมีร้านอาหารไทยที่มิสเตอร์ริกเกอร์ หว่องตั้งขึ้นมาคือไทยไทยและก็ดู5ดาวด้วย ผมก็มาอยู่อันเดอร์มิสเตอร์ริกเกอร์ หว่อง อยู่ได้2-3เดือนพอดี 5ดาวไม่มีคนดูแล ย้ายดร.คนหนึ่งไปดูอยู่เดือนเดียวไม่เอา ย้ายอีกคนไปดูก็ไม่เอา ทุกคนถอดใจหมดเพราะ5ดาวยุคนั้นไม่เหมือนยุคนี้ ยุคนั้น 5ดาวมี 400กว่าจุด ยอดขายไม่มาก ไม่ค่อยมีกำไร ถือว่าเล็กมาก ช่วงนั้น ผมก็อาสาไป5ดาว ผมขอท่านประธานประเสริฐๆขอคุณริกเกอร์ หว่องก็โอเค ผมย้ายมาดู5ดาวปี 2545ก็มีการเปลี่ยนสายบังคับบัญชา ท่านประธานประเสริฐบอกให้ผมรายงานตรงท่าน สมัยนั้นชื่อบริษัทสตาร์มาร์เก็ตติ้งแบรนด์สินค้าใช้แบรนด์5ดาวและเราขายเฉพาะในกรุงเทพ ปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคกลางและเชียงใหม่ ภาคใต้ไม่มี อีสานไม่มี เหนือไม่มีมีแค่เชียงใหม่จังหวัดเดียว และจังหวะผมมาดู5ดาวมีการปรับเปลี่ยนเป็นร้านเถ้าแก่พอดี ก็เหลือ400-500จุด เหตุผลคือผู้บริหารมองเรื่องการสร้างอาชีพ สร้างงาน สองเพิ่มประสิทธิภาพเป็นพนักงานPCสู้โมเดลเถ้าแก่ไม่ได้ ก็เลยส่งเสริมให้พนักงานPCเป็นเถ้าแก่ เปลี่ยนได้100%ก่อนผมไป
จุดเปลี่ยนคือตอนผมไปปี2545 ต้นปี2547เจอหวัดนก ยอดขายผมตก90% ผมจำได้ไก่ส่งมาต้องคืนกลับ ย่างแล้วขายไม่ได้ต้องคืนกลับ บางคนเตรียมหาอาชีพใหม่แล้วเรารันด้วยเถ้าแก่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมก็คิดว่าถ้าปล่อยสถานการณ์เป็นแบบนี้ เถ้าแก่ต้องสูญพันธุ์ เพราะเถ้าแก่สายป่านสั้น เลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว พอยอดขายตก 90%จะเอารายได้ที่ไหนไปเลี้ยงตัวเองหรือครอบครัว ก็ต้องหยุดขายถ้าไม่ทำอะไร ทำเลดีๆก็จะถูกขายไปหมด เถ้าแก่500ชีวิตก็ต้องเปลี่ยนอาชีพหมด จะเหลือแต่ชื่อและแบรนด์ นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ผมก็คิดทุกคืนทำอย่างไรดี ก็ต้องทำอะไรสักอย่างจะเสี่ยงก็ต้องเสี่ยง สุดท้ายผมก็ประชุมกับทีมงานคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างอาจจะรอดก็ได้ แต่ถ้าไม่ทำตายร้อยเปอร์เซ็นต์ สุดท้ายผมก็ออกโปรโมชั่นไก่ ยุคนั้นไก่ย่างขายตัวละ 69บาทตอนนั้นผมรายงานตรงกับคุณอดิเรก ช่วงหวัดนก ผมก็ขออนุญาตคุณอดิเรกจะขอโปรโมชั่นราคาตัวละ 39 คุณอดิเรกก็เป็นนายที่กล้าได้กล้าเสียเอาเลยคุณสถิต ผมก็ประชุมกับทีมงานอยู่ๆจะมาบอกขาย39 คงไม่ได้ ก็เลยใช้กลยุทธ์ ลงโฆษณาให้ลูกค้ารับรู้โฆษณายุคนั้นเร็วสุดก็คือลงนสพ. ลงไทยรัฐครึ่งหน้าเลย ลงทุกวัน 3-5วัน จั่วหัวไก่ย่าง5ดาวเลี้ยงจากฟาร์มซีพีเอฟซึ่งเป็นโรงเรือนปิดปลอดภัยและบอกไก่ย่าง5ดาวย่างสุก 100% ปลอดภัย 100% จาก 69 เหลือ 39 อัดไก่เต็มที่ บอกทุกคนต้องสู้นะอย่าหยุดขาย ลุยเลยบอกไม่ต้องกลัวย่างแล้วขายไม่ได้ผมรับคืนซีพีไม่ต้องมาแชร์ค่าใช้จ่าย โอ้โหพอสตาร์ทปัง นึกไม่ถึงขายดิบขายดี ยอดขายพุ่ง ย่างไม่ทัน ลูกค้าต้องเข้าคิว แจกบัตรคิวกันเลย เที่ยงๆเสร็จผมก็ขับรถตระเวนดู เยี่ยมเถ้าแก่ เถ้าแก่ย่างขายไม่ทัน
“นี่คือวิกฤตเป็นโอกาส ถ้าผมไม่ทำอะไร หมดแล้ว จากการทำแบบนี้ทำให้วิกฤตเป็นโอกาสทำให้ 5ดาวขายดิบขายดีมาจนถึงวันนี้ หลังจากหวัดนกหมดไป เราขายดิบขายดี คุณอดิเรกบอกอย่างนั้นขยายทั่วประเทศเลย 5ดาวเคยไปเปิดทางอีสาน ทางเหนือทางใต้ล้มเหลว เคยเปิดมาเลเซียก็ล้มเหลวหมด คราวนี้คุณอดิเรกสั่งใหม่บอกลุยทั่วประเทศ ให้ผมสั่งตู้ย่างพันตู้เลยเพื่อให้ได้ราคาที่ถูกลงมา ผมก็คิดหนักเครียดเลยพันตู้แต่สุดท้ายก็ทำตามคำสั่ง พันก็พันก็ขยายไปทั่วเป็นที่มาจาก500แห่งเป็น4,000-5,000 แห่ง แต่การที่จุดขายเพิ่มขึ้นเราไม่ได้ขายแต่ไก่ เราทำไก่ทอดด้วย ก็เกิดจากวิสัยทัศน์คุณอดิเรกว่าให้ทำไก่ทอด 5ดาวก็เลยทำเชนไก่ทอดและถือว่าทำได้ดีมาก จุดแรกคุณอดิเรกไปเจอกับเถ้าแก่ไปชิมคุยกับแม่ค้า เถ้าแก่หน้าตู้ คุณอดิเรกบอกว่างานนี้คุณสำเร็จแน่ก็สำเร็จจริงๆไก่ทอดขยายมาเรื่อยๆ เติบโตจนทุกวันนี้ นี่เป็นที่มาของเชนไก่ทอด ขายได้ไม่ถึงปีเบอร์1 KFCมาพบคุณอดิเรก KFCทำไก่ทอดในเมืองไทย 5ดาวจะมาแข่งได้อย่างไรให้5ดาวหยุดทำคุณอดิเรกโทรมาบอกผม KFCเป็นลูกค้ารายใหญ่เราจะชะลอไก่ทอด5ดาวไปก่อน ผมก็ปรึกษาคุณอดิเรกขอทำตามที่สั่งทำตู้ไปแล้วแต่มันก็ยังขายดีก็เลยบอกทีมว่าเราคงต้องทำเป็นมวยซุ่ม ผมก็ขยายไปจนทั่วประเทศจนKFCมาดูอีกที5ดาวเต็มทั่วประเทศขอให้หยุดขาย ผมก็มาคุยกับคุณอดิเรกว่าเสียงตอบรับดีมากคิดเป็นยอดขาย เป็นกำไรมากกว่าขายไก่ให้KFC คุณอดิเรกก็บอกเราไม่ยอมเหมือนกัน KFCรู้ว่าซีพีคงไม่ยอมเหมือนกัน เพราะเราขยายไปทั่วจะให้หยุดคงหยุดไม่ได้แล้ว ทำให้ไก่ทอด 5ดาวขายดิบขายดีกว่าไก่ย่าง 5ดาวที่ทำมาถึง 30กว่าปีด้วยซ้ำ ทั้งที่เป็นน้องใหม่ที่เกิดทีหลัง
“ในแง่แบรนด์5ดาวเราก็มีการพัฒนาถ้าย้อนไปดูแบรนด์เดิมจะเป็นโลโก้สี่เหลี่ยมเป็นแม่ไก่ มีดาว 5ดวงก็มีการรีแบรนด์ ปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยมากขึ้นจากสี่เหลี่ยมมาเป็นวงกลมมีแม่ไก่1ตัวข้างหลังเขียนไฟท์สตาร์กับ 5ดาว 2เวอร์ชั่น ไทยกับอังกฤษเป็นอังกฤษเพื่อไปใช้ในต่างประเทศ เป็นไทยใช้ในไทย ล่าสุดเป็นวงกลมไม่มีคำว่าไฟท์สตาร์หรือ 5ดาว เป็นแม่ไก่1ตัวในวงกลมคือการที่ผมสเต็ปบายสเต็ปจากกล่องสี่เหลี่ยมมาเป็นไก่ตัวเดียวในวงกลมกลัวลูกค้าตามไม่ทันก็เลยเปลี่ยนสเต็ป 2มีคำว่า 5ดาวใต้แม่ไก่แล้วมาปัจจุบันเป็นแม่ไก่ตัวเดียวภายใต้โลโก้วงกลมไม่มีคำว่าไฟท์สตาร์ทำไมไม่มี5ดาว คำว่า 5ดาวฟังแล้วอาจจะเป็นบ้านๆก็ทำให้ดูโมเดิรน์เหมือนเชนร้านอาหารที่ใช้ภาษาอังกฤษ บางแบรนด์ใช้ภาษาอังกฤษจนคิดว่าเป็นของต่างชาติ ด้วยแนวคิดนี้เราถึงปรับโลโก้ ณ วันนี้ก็เป็นแม่ไก่ตัวเดียวและเป็นภาษาอังกฤษ”
“และด้วยศักยภาพของประเทศอินเดียที่มีประชาชนมากแม้ว่าส่วนใหญ่จะทานพวกผักแต่แนวโน้มการบริโภคเนื้อก็มากขึ้น เราเห็นว่านอกเหนือจากการเปิดในประเทศเพื่อนบ้านก็เลยมองไปถึงอินเดียด้วย ด้วยเหตุนี้คุณอดิเรกสั่งให้ผมเข้าอินเดีย ผมไปเซอร์เวย์ตลาดด้วยตัวเอง จำได้ปีนั้นน้ำท่วมกรุงเทพพอดี ก็มาบอกว่าจะลงที่เมืองบังกาลอเป็นแห่งแรกเพราะบังกาลอมีเศรษฐกิจที่ดี กำลังซื้อสูง เป็นเมืองไอทีที่ต่างชาติมาลงมากและเป็นTop4ของอินเดีย สำคัญซีพีเอฟมีฐานอยู่ที่นั่น มีHead Officeอยู่ที่นั่นมีโรงงานอาหารสัตวส์มีฟาร์มอยู่ที่นั่นมีทีมงานSupporting คุณอดิเรกก็เห็นด้วย อีกอย่างผมเห็นว่าบังกาลอมีโอกาสขยายแล้วมีโอกาสไปเชนไนได้ ไปไฮเดอลาบัดได้ ทั้งเชนไน ไฮเดอลาบัดเป็นเมืองใหญ่น้องๆบังกาลอและทางใต้การบริโภคเนื้อสัตว์จะมากกว่าทางเหนือมากกว่าภาคกลาง นี่คือที่มาการไปSet upที่อินเดีย ผมเป็นคนมีโชคผมเข้าไปเซ็ทอัพส่งทีมเข้าไปเรียบร้อย หาที่ตั้งโรงงานต่างๆบังเอิญมีผู้บริหารอินเดียคนหนึ่งมาสมัครมิสเตอร์ซานจิบซึ่งโปรไฟล์ดีมากจบปริญญาโทจากอเมริกา ทำงานP&Gที่อเมริกา10ปีมีภรรยาเป็นคนไทย พูดไทยได้ คุณอดิเรกก็ปิ้งทันทีเอาคุณซานจิบไปทำผมก็เห็นด้วยเพราะการไปทำธุรกิจในต่างแดนต้องใช้คนLocalทำ ผมเองไปทำไม่รู้จักลูกค้าเท่ากับคุณซานจิบที่รู้ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม นิสัยของคน กฎหมาย ภาษีผมเองไม่มีความรู้ ถ้าเป็นคุณซานจิบน่าจะเหมาะสมกว่า ประสบการณ์จากP&G10กว่าปีและออกมาเป็นGMขายไม้กอล์ฟ 2-3ปีถือว่าเป็นมืออาชีพก็ให้คุณซานจิบและผมส่งทีมไปเสริมไปช่วยคุณซานจิบ ส่งทีมคนหนุ่มสาวไป3คน คนหนึ่งรับผิดชอบด้านโอเปเรชั่น รับผิดชอบเรื่องการขยายการขยายสาขาและอีกคนรับผิดชอบเรื่องR&D จนSet upธุรกิจได้ผ่านไป3ปี ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางผมถึงถอนทีมกลับ”
ตอนหลังมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอีกทีคุณณัฐกิจไปรับผิดชอบในอินเดียบอกต้องการเปลี่ยนHeadดูแล5ดาว คุณอดิเรกก็สั่งผมไปแทนผมก็ครับๆผมก็เข้าอินเดียอีกรอบผมเข้าไปก็เห็นจุดอ่อนจุดแข็งว่าจะต้องปรับเปลี่ยนอะไรแต่ก็รันด้วยทีมเดิมและผมส่ง Headเข้าไปประจำคนหนึ่ง ผมใช้เวลาปีครึ่งแก้ปัญหาจากขาดทุนสาหัสก็กำไร พอกำไรผมก็ส่งมอบให้BUที่อินเดียบริหารต่อ คุณสุขสันต์เคยรายงานให้ท่านประธานอาวุโสทราบว่าไก่ย่าง5ดาวอินเดียขาดทุนจนคุณสถิตเป็นคนไปแก้จากขาดทุนจนไปไม่ไหวแต่เดี๋ยวนี้มีกำไรแล้วท่านก็หันมาบอกว่าอย่างนี้ต้องให้เครดิตคุณสถิต
#กลับมาดูเชสเตอร์อีกครั้ง
คุณสถิตเล่าว่านอกจากดูแล5ดาวมา 18ปีก็กลับมาดูเชสเตอร์อีกครั้งจากเดิมเคยดูเชสเตอร์ โดยคุณอดิเรกมอบหมาย มารอบ2ผมก็ไม่ต้องไปลองผิดลองถูกเพราะผมเคยดูเชสเตอร์มา7-8ปีผมเห็นว่าเชสเตอร์ควรจะพัฒนาไปอย่างไร ตอนจากเชสเตอร์ไปก็มีประมาณ 40-50สาขา ตอนนั้นยังเป็นเชสเตอร์กริลล์ พอผมมารอบสองก็เหลือชื่อเชสเตอร์ ท่านประธานอาวุโสมีคอมเมนท์ คือเชสเตอร์ช่วงแรกๆย่างไก่ใช้เตาสายพานแบบย่างพิชซ่า ผมมาดูเชสเตอร์ 2-3ปีตอนรอบสองไปเดินงานโชว์ที่ไบเทค ผมไปเห็นเตาตัวเล็กๆหุงข้าวก็ได้ ย่างไก่เป็นตัวก็ได้ ย่างไก่เป็นชิ้นส่วน ย่างเนื้อหมูเป็นชิ้นส่วนได้หมดผมเห็นปุ๊ปสะดุดตาทันทีเห็นเค้าโชว์ไก่ย่างที่ย่างแล้วก็คุยกับเค้า เตาคุณย่างไก่เป็นตัวได้หรือ บอกได้แล้วผมก็ขอชิมก็เทคเจอร์ก็ดีนะ สีก็สวยก็ขอรายละเอียดถึงรู้ว่ามาจากเยอรมันนำเข้ามา ก็ขอโบชัวร์ กลับมาผมก็บอกR&Dเอาโบชัวร์ให้เลยติดต่อบริษัทนี้ขอยืมเตาเค้ามาทดลองดูสัก2-3เดือนดูว่าเชสเตอร์ใช้ได้ไหม ก็ลองย่างชิ้นส่วนต่างๆR&Dมาลองย่างก็รู้สึกสะดวกกว่า ลงทุนน้อยกว่า ดูแลง่ายกว่า ภาพรวมคิดว่าดีกว่าการย่างแบบเดิม ก็เลยบอกถ้าเปิดสาขาใหม่ซื้อมาทดลองใช้ทีมงานก็รายงานบอกว่าดีก็เลยบอกเปิดสาขาใหม่ให้ใช้เตาแบบนี้เลย ท่านประธานอาวุโสรับรู้สิ่งเหล่านี้ ท่านก็โทรมาคุยผมก็รายงานท่านตอนนี้ผมเริ่มใช้เตาอบไม่ใช่เตาย่างแบบเดิมทำได้สารพัดใช้พื้นที่น้อยลงทุนต่ำ ประสิทธิภาพก็สูงกว่าและที่สำคัญมันไม่กริลล์มันอบ ท่านบอกอย่างนี้ดี อบมันดีต่อสุขภาพนะ ถ้าย่างฟังแล้วไม่สุขภาพเท่าไหร่ ท่านก็ยังเอาเตาตัวนี้ไปคุยให้ทางจีนฟังท่านโทรมาถามผมซื้อมาราคาเท่าไหร่ ย่างไก่กี่นาทีสุก ทำอะไรได้บ้างกว้างยาวสูงเท่าไหร่ ให้จีนมาดูงานมาดูเตาตัวนี้และผมก็ใช้เตาตัวนี้เรื่อยมา มีอยู่วันท่านก็เกิดแนวความคิดวันนั้นท่านพาทีมไปดูฟู๊ดคอร์ทที่เกาหลีแต่ผมไม่ได้ไปผมก็ส่งตัวแทนไป ลูกน้องผมไปกลับมารายงานท่านบอกว่าเชสเตอร์ กริลล์ ไปกริลล์ได้ไงเดี๋ยวนี้ไม่กริลล์แล้วนะแล้วไปใช้กริลล์ทำไม ผมก็เชสเตอร์อย่างเดียวดีกว่า ท่านไม่ได้บอกผมโดยตรงนะ ลูกน้องผมมารายงานผมถามว่าฟังชัดนะไม่ผิดนะ อันนี้ก็เป็นที่มาว่าทำไมต้องเอากริลล์ออกจากเชสเตอร์ กริลล์ ก็เปลี่ยนเป็นเชสเตอร์ ผมเป็นคนสั่งเปลี่ยนเอง ก็เป็นแบบนี้
“ตอนผมอยู่เชสเตอร์รอบแรกไก่ย่างสูตรเด็ดที่ขายในเชสเตอร์มาจากใครรู้ไหม เมื่อก่อนเชสเตอร์ขายไก่ย่างสูตรเม็กซิกัน อยู่ๆวันหนึ่งท่านประธานก็โทรผ่านคุณอดิเรกว่าท่านอยากให้เชสเตอร์ขายไก่ย่างสูตรเผ็ดแบบไทยๆก็ลองให้เชฟทำส่วนตัวผมชิมก็อร่อยนะ ก็เอามาให้คุณอดิเรกชิมคุณอดิเรกบอกเป็นโปรเจคท่านไม่กล้าสรุปยกไปให้ท่านชิมดีกว่าผมก็ยกไปให้ท่านชิมที่ตึกทรู ตอนนั้นป๋าเปรมเป็นที่ปรึกษาท่านทานข้าวอยู่กับป๋าเปรมผมก็ยกไปเรียนท่านว่าเป็นไก่ย่างสูตรเผ็ดแบบไทยๆที่ท่านให้เชสเตอร์พัฒนา วันนี้มาให้ท่านทดสอบทดสอบกันทุกคนท่านก็ถามป๋าเปรมป๋าเปรมบอกอร่อยทุกคนบอกอร่อยกันหมด ท่านประธานบอกผ่าน นี่คือที่มาการขายไก่ย่างสูตรเผ็ดแบบไทยไทยที่ขายในปัจจุบัน ผมกลับมารอบสองขาย2สูตร สูตรดั้งเดิมกับสูตรเผ็ด 2อย่างรวมกันก็ยังไม่มากพอ ผมเลยบอกน่าจะเหลือสูตรเดียว ในหลักการก็ต้องเลือกสูตรที่ขายดีที่สุดจะบริหารจัดการง่ายและลูกค้ามาสั่งก็จะได้ไก่ที่ร้อนก็เลยเลือกสูตรที่ท่านให้ทำเพราะขายดีกว่า สูตรเดิมก็เลิกไป แต่เราก็มีสูตรที่หมุนเวียนเปลี่ยนรสชาติไปตลอดเพื่อให้ลูกค้าได้ชิม แต่ตัวยืนคือสูตรเผ็ด แล้วผมก็ประยุกต์เอาพรีมิกซ์ไก่ย่างสูตรเผ็ดมาหมักกับเบียร์บวกข้าวไม่รู้จะตั้งชื่ออะไรก็เอาข้าวไก่เผ็ดแล้วกันก็ตั้งชื่อนี้มาถึงวันนี้เป็นเมนูที่ขายอันดับ1และล่าสุด 3-4ปี R&Dคิดสูตรไก่ซอสทอดน้ำปลานี่ก็เป็นแชมเปี่ยนชนะเบอร์1เบอร์2 เมื่อก่อนเบอร์1ข้าวอบไก่ย่างตอนหลังก็มีข้าวไก่เผ็ดมาตีคู่แล้วก็ชนะ ล่าสุดก็มาเป็นไก่ซอสน้ำปลาและมาแรงกว่า2พี่กลับกลายเป็นไก่ซอสน้ำปลาเบอร์1ไก่เผ็ดเบอร์2 ข้าวอบไก่ย่างที่เป็นที่1ในอดีตกลายเป็นเบอร์3 นี่ก็เป็นโปรดักซ์แชมเปี่ยน3ตัว”
#ภูมิใจซีพีบ้านหลัง2ที่อบอุ่นโปร่งใส
ถามว่าผ่านการมาช่วยผ่าตัดกิจการห้าดาว เชสเตอร์ถือเป็นมืออาชีพ คุณสถิตกลับออกตัวว่า
“ผมเป็นมือสมัครเล่นผมก็มีทำถูกทำผิดแต่อะไรที่ผิดผมก็จำ อะไรถูกผมก็ขยายผลนำมาเล่าให้ทีมงานฟังว่าทำแบบนี้มันถูกแบบนี้มันผิด ผมเคยทำผิดบริษัทเสียหายแล้วจะไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำสอง ถามว่าอะไรทำให้ผมยังทำงานที่ซีพีไม่เปลี่ยนไปที่อื่น ความจริงแล้วก็มีคนมาHead Huntหลายรอบตั้งแต่สมัยอยู่เชสเตอร์ผมก็ไม่เสียเวลากับเค้าผมก็ตอบว่าผมอยู่ที่นี่ผมมีความสุขดีแล้ว อย่ามาเสียเวลาผมเลยและอีกอย่างผมก็บอกเค้าว่าผมไม่ใช่มืออาชีพผมก็ปฏิเสธไปตลอดถึง3หน ทำไมผมถึงอยู่แบบนึกไม่ถึงยาวนาน40กว่าปี “
“ผมคิดว่าที่นี่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของผม ผมเรียนจบมาเริ่มต้นจากที่ศูนย์นะ ที่บ้านผมแบกกรานด์ก็มีปัญญาแค่ส่งลูกให้เรียนจบมหาวิทยาลัยโดยไม่ต้องกู้หนี้ยืมสินแค่นั้นเอง ผมคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมีวันนี้เครือซีพีเป็นคนให้ผม ผมมีบ้านมีรถยนต์มีลูก สามารถส่งลูกไปเรียนเมืองนอกได้ มีทรัพย์สินเงินทองไว้ใช้ยามเกษียณโดยไม่รบกวนลูกไม่ต้องเป็นภาระสังคมซีพีเป็นผู้ให้ผมและผมรู้ว่าองค์กรซีพีเป็นองค์กรที่ดูแลคนคือคนรุ่นเก่าๆที่อยู่มาจะอยู่ด้วยใจ “
“ทุกคนที่ผมดูมีรอยัลตี้สูงจะสังเกตได้ว่าคนบริษัทอื่นๆจะมีปัญหาทุจริตแต่คนซีพีปัญหานี้ไม่มีผมใช้คำว่าแทบไม่มีเลย เทียบเปอร์เซนต์ผมว่าต่ำกว่ามาตรฐานมาก ปัญหาเรื่องการทุจริต การคดโกงต่างๆจะเป็นคนที่มีสายเลือดซีพีและเป็นคนซื่อสัตย์ ที่ซื่อสัตย์แบบนี้ผมคิดว่าด้วยวัฒนธรรมองค์กร ด้วยนโยบาย ด้วยรุ่นพี่ๆสืบทอดต่อๆกันมาและอีกอย่างผมคิดว่าทุกองค์กรไม่ว่าเอกชน รัฐวิสาหกิจหรือรัฐบาลก็ตาม ถ้าลูกพี่สะอาดโปร่งใส ทุกอย่างซื่อสัตย์ เบอร์ 2เบอร์ 3 ลดลั่นลงมาก็จะซื่อสัตย์ บางองค์กรที่มีปัญหาทุจริตเพราะอะไรเพราะเบอร์1ไม่ซื่อสัตย์แต่ซีพีเป็นองค์กรที่มีวัฒนธรรมที่ดีมาก นายใหญ่สุดของผมท่านประเสริฐท่านก็เป็นคนซื่อสัตย์ ขยัน ทุ่มเท เสียสละ มัธยัสถ์ เป็นRole Modelให้กับคนซีพีทุกคน เบอร์ 2 ท่านประธานอดิเรกก็เป็นคนLow Profile สมถะ อยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง ซื่อสัตย์ ใสสะอาด คนที่ลดหลั่นลงมาก็เป็นแบบท่านกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กร ผมว่าอันนี้เป็นสิ่งสำคัญ เป็นจุดแข็งของซีพี”
“ผมว่าทุกวันนี้ถ้าทุกคนไม่อคติ เป็นกลางและคิด ผมคิดว่าเครือซีพีเป็นองค์กรที่ให้กับประเทศชาติให้กับประชาชนไทย ผมคิดว่าอันดับหนึ่งของประเทศก็ว่าได้ ไม่ต้องอะไรมาก คนของซีพีหลายแสนคนทุกคนต้องเสียภาษีให้รัฐ ช่วยให้คนมีงานทำVatที่ซีพีจ่ายให้รัฐ ภาษีที่ต้องจ่ายให้รัฐและประวัติซีพีเราขาวสะอาด ทำธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย สุจริตทุกอย่างไม่มีสีเทา”
“ผมคิดว่าพวกเราทำงานในซีพีทุกคน ผมบอกกับทีมงานเสมอว่าพวกเราทำงานในซีพีอย่าคิดเอาเปรียบบริษัทบริษัทเราต้องยอมเสียเปรียบเรายอมเสียเปรียบวันนี้วันหน้าเราจะได้เปรียบสิ่งเหล่านี้ผมประสบกับตัวเอง ผมทำมา40กว่าปีไม่เคยคิดจะเอาเปรียบบริษัทมาถึง ณ วันนี้ที่บริษัทให้ผม ผลตอบแทนที่บริษัทให้ผม ผมคิดว่ามันมาก มันเกินคุ้มผมก็ถ่ายทอดบอกลูกน้องทุกคน”